ปี 2018
วันอวสานโลกได้ผ่านมาและผ่านไป ทิ้งไว้เพียงซากอารยธรรมสมัยใหม่ กองทัพคนเหล็กได้คุกคามน่านฟ้าของโลกหลังวันหายนะ เพื่อสังหารและกำจัดมนุษย์ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองร้างและทะเลทราย แต่กลุ่มผู้รอดชีวิตกลุ่มเล็กๆ ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มผู้ต่อต้าน ผู้หลบซ่อนอยู่ในบังเกอร์ใต้ดินและโจมตีกองกำลังศัตรูที่มีกำลังพลเหนือพวกเขาทุกเมื่อที่เป็นไปได้
ผู้ที่บงการคนเหล็กเหล่านี้คือสกายเน็ท เครือข่ายคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ ที่เริ่มมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 14 ปีก่อนและเพียงเวลาชั่วพริบตา มันก็ได้หักหลังผู้สร้างมันขึ้นมา และปลดปล่อยอาวุธนิวเคลียร์สู่โลกใบนี้ โดยไม่ทันให้ตั้งตัว
มีชายเพียงคนเดียวที่เห็นวันอวสานโลกคืบคลานเข้ามา ชายเพียงคนเดียว ผู้ซึ่งชะตากรรมของเขามักจะเกี่ยวพันถึงการคงอยู่ของมนุษยชาติเสมอ เขาก็คือ จอห์น คอนเนอร์ (คริสเตียน เบล)
บัดนี้ โลกกำลังจะก้าวสู่อนาคตที่คอนเนอร์ถูกพร่ำเตือนเสมอมาตลอดชีวิต แต่ปัจจัยใหม่อย่างหนึ่งได้สั่นคลอนความเชื่อของเขาที่ว่ามนุษยชาติมีโอกาสที่จะชนะสงครามครั้งนี้ นั่นก็คือการปรากฏตัวของ มาร์คัส ไรท์ (แซม เวิร์ธธิงตัน) คนแปลกหน้าจากอดีต ผู้ซึ่งความทรงจำสุดท้ายของเขาคือการรับโทษประหารก่อนที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกใหม่ใบนี้
คอนเนอร์จะต้องตัดสินใจว่าเขาสามารถไว้วางใจมาร์คัสได้หรือไม่ แต่เมื่อสกายเน็ทใช้กลยุทธใหม่เพื่อปราบกองกำลังต่อต้านให้ราบคาบ คอนเนอร์และมาร์คัสก็ต้องหาทางร่วมมือกันเพื่อยับยั้งการสังหารโหด ด้วยการแฝงตัวเข้าไปในสกายเน็ทและชนกับศัตรูแบบจังๆ
เดอะ ฮัลซีออน คัมปะนี ภูมิใจนำเสนองานสร้างโดยมอริทซ์ บอร์แมนร่วมกับวันเดอร์แลนด์ ซาวน์ แอนด์ วิชัน ภาพยนตร์โดยแม็คจีเรื่อง "Terminator Salvation" แม็คจี ("Charlie’s Angels," "We Are Marshall") กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทภาพยนตร์โดยจอห์น แบรนคาโตและไมเคิล เฟอร์ริส ("Terminator 3: Rise of the Machines")
"Terminator Salvation" อำนวยการสร้างโดยมอริทซ์ บอร์แมน, เจฟฟรีย์ ซิลเวอร์, วิคเตอร์ คูบิเซคและดีเร็ค แอนเดอร์สัน ปีเตอร์ ดี. เกรฟส์, แดน ลิน, จีน ออลกู๊ด, โจเอล บี. ไมเคิลส์, มาริโอ เอฟ. คัสซาร์และแอนดรูว์ จี. วัจนา รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง แชนทัล เฟกาลี ร่วมอำนวยการสร้างและเจมส์ มิดเดิลตันรับหน้าที่ผู้ช่วยควบคุมงานสร้าง
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย คริสเตียน เบล ("The Dark Knight"), แซม เวิร์ธธิงตัน ("Avatar"), แอนตัน เยลชิน ("Star Trek"), มูน บลัดกู๊ด ("What Just Happened"), ไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ด ("Spider-Man 3"), คอมมอน ("Wanted"), เจน อเล็กซานเดอร์ ("The Unborn") และเฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ ("Harry Potter and the Half-Blood Prince")
ทีมงานเบื้องหลังได้แก่ช่างภาพเชน เฮิร์ลบุท ("We Are Marshall"), ผู้ออกแบบงานสร้างมาร์ติน แลง ("Pearl Harbor"), มือลำดับภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ คอนราด บัฟฟ์ ("Titanic"), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล วิลคินสัน ("Watchmen"), ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์เจ้าของรางวัลออสการ์ ชาร์ลส์ กิ๊บสัน ("Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest") และซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายอนิเมโทรนิคส์ จอห์น โรเซนแกรนท์แห่งสแตน วินสตัน สตูดิโอ ดนตรีโดยแดนนี เอลฟ์แมน ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลออสการ์ ("Milk," "Big Fish," "Good Will Hunting," "Men in Black")
"Terminator Salvation" จัดจำหน่ายในอเมริกาโดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส และโซนี พิคเจอร์ส รีลีสซิง อินเตอร์เนชันแนลเป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก (เว้นแต่เกาหลีใต้และประเทศบางประเทศในตะวันออกกลาง)
www.sonypictures.in.th
"สตาร์เป็นเหมือนตัวแทนของความไร้เดียงสาในหนังเรื่องนี้ครับ" แม็คจีกล่าว "เธอเป็นตัวแทนความหวัง พอคุณมองหน้าเธอแล้วคุณก็จะรู้สึกว่า ‘นี่คือสิ่งที่เราต่อสู้เพื่อมัน เราอยากจะรักษาชีวิตของคนพวกนี้ นี่แหละคืออนาคต’ เธอแตกต่างจากคนที่จดจำโลกสมัยเก่าได้ตรงที่เธอเติบโตขึ้นมาในโลกที่ถูกปกครองโดยความโหดเหี้ยมของเครื่องจักรกล มันทำให้เธอสามารถรู้สึกถึงการมาของพวกมันได้ เธอก็เลยกลายเป็นความช่วยเหลือที่สำคัญเป็นครั้งคราวครับ"
ไคล์, สตาร์และบัดนี้รวมมาร์คัสเข้าไปด้วยอีกคน ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดไปวันๆ และพวกเขาก็ถูกคุกคามและช่วยเหลือโดยผู้อพยพมนุษย์คนอื่นๆ ที่พวกเขาได้พบระหว่างทาง ซึ่งรวมถึงเวอร์จิเนีย ที่รับบทโดยเจน อเล็กซานเดอร์ เมื่อคนอื่นๆ ในกลุ่มเธอต้องการจะไล่ทั้งสามคนไปให้พ้น เวอร์จิเนียยืนยันให้มีการแบ่งปันเสบียงน้อยนิดที่เหลืออยู่ให้กับพวกเขา เวิร์ธธิงตันเล่าว่า "แน่นอนครับว่าสิ่งที่น่าขันก็คือที่นี่ที่ซึ่งแค่การใช้ชีวิตก็ยากลำบากแล้วเท่านั้นที่มาร์คัสได้สัมผัสความเมตตาปรานีของมนุษย์ที่แท้จริง"
จู่ๆ มาร์คัส, ไคล์และสตาร์ก็ต้องพรากจากกันเมื่อพวกเขาถูกซุ่มโจมตีโดยฮาร์เวสเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลที่มีรูปร่างเหมือนแมลงยักษ์ ที่มีหลายแขนและหลายขาที่คอยตะครุบเหยื่อเพื่อจับตัวพวกเขาใส่ยานขนส่งและลำเลียงกลับไปยังสกายเน็ท ท้ายที่สุดแล้ว ไคล์และสตาร์ ที่ถูกไล่ล่าโดยกองทัพคนเหล็ก ตั้งแต่ฮันเตอร์ คิลเลอร์ร่างยักษ์ไปจนถึงโมโต เทอร์มิเนเตอร์สองล้อเพรียวลม ทั้งบนถนนเปิดโล่ง สะพานและแม่น้ำ ก็ถูกฮาร์เวสเตอร์จับตัวได้ และพวกเขาก็ถูกจับตัวใส่ยานขนส่ง โดยไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้า
"มันเป็นส่วนที่ทำให้ใจสลายในโลกจักรกลครับ" แม็คจีให้ความเห็น "ถึงคุณจะทำดีที่สุดแล้วในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่มันก็ยังไม่พอ คุณไม่สามารถจะคว่ำเครื่องจักรกลพวกนั้นลงได้ ไม่ว่าไคล์และมาร์คัสจะสู้พวกมันด้วยอะไร มันก็ยังไม่พอ ไม่มีอะไรหยุดยั้งพวกมันได้"
มาร์คัส ผู้ซึ่งหลบหนีการจับกุมได้ ได้ช่วยชีวิตของนักบินเครื่องบินเจ็ท A-10 คนหนึ่ง ผู้จำเป็นต้องดีดตัวออกจากเครื่องหลังจากที่ไม่สามารถช่วยเหลือมนุษย์จากฮาร์เวสเตอร์ได้ นักบินคนนั้นคือสาวสวยแบลร์ วิลเลียมส์ ผู้พามาร์คัสกลับไปฐานกองกำลังต่อต้านกับเธอด้วย "แบลร์เป็นนักบินต่อสู้และผู้รอดชีวิตที่วิเศษสุดครับ" แม็คจีกล่าว "เธอรู้จักวิธีที่จะควบคุม ทำลายเครื่องจักรกลและที่สำคัญที่สุดคือการเอาชีวิตรอด เธอได้รับการช่วยเหลือจากมาร์คัส เธอก็เลยรู้สึกเหมือนติดหนี้เขาครับ"
แบลร์ วิลเลียมส์ รับบทโดยมูน บลัดกู๊ด ผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ทีมผู้สร้างจินตนาการไว้สำหรับบทนักรบผู้มั่นใจแห่งกองกำลังต่อต้าน พร้อมกับนำความแข็งแกร่งของผู้หญิง ตามที่ปรากฏใน "Terminator" ภาคก่อนๆ เข้ามาด้วย "ผมหมายถึงว่า ถ้าระเบิดนิวเคลียร์มาลงที่ลอสแองเจลิส ผมก็เชื่อว่ามูนจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่ครับ" แม็คจีกล่าวติดตลก "เธอก็เลยได้บทนี้ไป"
ระหว่างเดินทางไปยังฐานกองกำลังต่อต้าน มาร์คัสก็ได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิด หลังจากที่ถูกนำตัวส่งไปยังค่ายทหารของกองกำลังต่อต้านอย่างเร่งด่วน เขาก็ได้รับการปฐมพยาบาลจากเคท คอนเนอร์ ภรรยาของจอห์น ที่รับบทโดยไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ด ในทันที "ในช่วงเวลาหลายปีหลังจากวันอวสานโลก เคทก็กลายเป็นหมอ ที่ฝึกฝนตัวเองอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้สถานการณ์นี้" โฮเวิร์ดเล่า "เธอหาหนังสือมาอ่าน เธอคุยกับผู้รอดชีวิตมากรายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเรียนรู้เทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยให้เธอช่วยชีวิตคนอื่นๆ ได้น่ะค่ะ"
นอกจากนี้ เคทยังเป็นคู่หูของคอนเนอร์ในการต่อสู้ที่ดำเนินอยู่ด้วย "จอห์นเป็นทหารและเคทเป็นหมอ ซึ่งมันก็ทำให้เขาเป็นทีมไร้พ่ายที่มีสายใยผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นครับ" แม็คจีบอก "พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ฉลาดและมีแรงใจที่จะเป็นผู้นำ มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะตามหาตัวเคท คอนเนอร์ที่จะคู่ควรกับการเป็นผู้นำกองกำลังต่อต้าน และผมก็คิดว่าไบรซ์มีความสง่างามและความเฉลียวฉลาดที่จะทำให้
คนเชื่อว่าเธอสามารถตัดสินใจได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับจอห์น คอนเนอร์ ทั้งเคทและแบลร์เองก็ดำเนินตามขนบของการเป็นผู้หญิงแกร่งในหนัง ‘Terminator’ ครับ"
เคทยังเป็นคนแรกที่ได้เห็นว่าร่างกายของมาร์คัสถูกดัดแปลงให้กลายเป็นคนเหล็กแบบใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยการเป็นส่วนผสมระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรกลที่มีหัวใจ สมองและภายนอกเป็นมนุษย์ และกลไกภายในเป็นเครื่องจักร
มาร์คัส ที่ไม่เคยรู้มาก่อนถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง รู้สึกสับสนที่ได้รู้ว่าการถูกประหารชีวิตของเขาเป็นเพียงปฐมบทสู่การมีชีวิตในรูปแบบใหม่นี้เท่านั้น "มาร์คัสมีแขนและขาเหล็กแต่เขายังคงมีหัวใจและสมองของมนุษย์ และนั่นเองคือสิ่งที่ทำให้เขาหวาดหวั่นครับ" เวิร์ธธิงตันบอก "มันเพียงพอรึเปล่าที่จะคุ้มครองความเป็นมนุษย์ของเขา เขาเชื่อว่าเขาเป็นมนุษย์ แต่ทุกคนรอบตัวเขาเว้นแต่แบลร์คิดว่าเขาเป็นศัตรู และอาจจจะรวมถึงสกายเน็ทด้วย แต่ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้พูดถึงเรื่องพลังของการตัดสินใจและความอิสระของมนษย์ผ่านทางตัวละครตัวนี้ แม้ว่าเขาจะถูกใส่เอาเครื่องจักรกลเข้ามา แต่หัวใจมนุษย์ของเขาก็เป็นของจริงครับ"
"พอพวกเขาค้นพบว่าเขาเป็นส่วนผสมระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรกล มันก็ไม่มีความไว้วางใจค่ะ" มูน บลัดกู๊ดกล่าว "แต่แบลร์มองเห็นความกล้าหาญและความลำบากของมาร์คัส เธอมองเห็นส่วนหนึ่งของเขาที่พวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้เห็น เขาช่วยชีวิตเธอไว้และเขาก็เปิดใจกับเธอ แบลร์ไม่กลัวที่จะท้าทายจอห์น คอนเนอร์เพราะคุณค่าของเธอสำคัญต่อเธอยิ่งกว่าเขาหรือแม้แต่การเอาชนะสกายเน็ทค่ะ"
บาร์นส์ ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้เป็นหูเป็นตาให้กับคอนเนอร์ ได้รับมอบหมายให้ดูแลมาร์คัสจนกว่าจะมีการศึกษาเขาได้ บาร์นส์รับบทโดยนักแสดงและศิลปินหนุ่ม คอมมอน ผู้ซึ่งเบลพูดถึงว่า "วิเศษสุด เขาเป็นหนึ่งในคนที่เจ๋งที่สุดเท่าที่ผมเคยพบ เขาเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย สบายๆ และเป็นนักแสดงที่ดีเหมือนกัน ตัวละครของเขาเป็นลูกน้องของคอนเนอร์และเขาก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยมครับ"
"บาร์นส์เป็นนักรบจิตวิญญาณในหลายแง่มุม เขาอยู่เคียงข้างคอนเนอร์คอยต่อสู้เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ และเขาก็มองมาร์คัสว่าเป็นภัยคุกคามครับ" คอมมอนบอก "แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ผ่านอะไรต่อมิอะไรมากมายที่ทำให้เขาเกิดความเข้าใจด้านจิตวิญญาณ เกี่ยวกับการดิ้นรนของพวกเขา เกี่ยวกับชะตากรรมของจอห์น คอนเนอร์ ซึ่งส่วนมากก็พัวพันกับมาร์คัสด้วยครับ"
ขณะที่สถานการณ์ภาคพื้นดินเปลี่ยนแปลงไป คอนเนอร์ก็เชื่อว่ากลยุทธของเขาเองก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกัน ซึ่งมันก็ทำให้เขาต้องขัดแย้งกับนายพลแอชดาวน์ ผู้นำที่ได้รับการยอมรับของกองกำลังต่อต้าน ที่รับบทโดยไมเคิล ไอออนไซด์ นักแสดงผู้คร่ำหวอดในแวดวงไซไฟ "ไมเคิล ไอออนไซด์ ผู้ที่ผมเคยร่วมงานกันมาก่อนใน ‘The Machinist’ รับบทเป็นผู้นำกองกำลังต่อต้าน และเราก็เกิดขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในหนังเรื่องนี้ แต่เขาเป็นคนที่คุณเชื่อได้เลยว่าเป็นผู้นำของกองกำลังรูปแบบใหม่นี้น่ะครับ" เบลเล่า
จอห์น คอนเนอร์รู้ดีว่า หนทางเดียวที่จะยืนหยัดต่อสู้กับกลยุทธการต่อสู้ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ของสกายเน็ทอย่างแท้จริงคือการต่อสู้กับพวกมันในที่ที่พวกมันอาศัยอยู่ นั่นก็คือใจกลางของสกายเน็ทเอง และมาร์คัสก็อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการแทรกซึมเข้าไปในเครือข่ายของพวกมัน "คอนเนอร์มีหน้าที่ที่สิ้นหวังอย่างเหลือเชื่อครับ" เบลกล่าว "แน่อนว่าเขามีอาวุธอยู่บ้าง แต่มันก็เหมือนการขว้างก้อนหินใส่ป้อมปราการ…เว้นแต่ตัวมาร์คัสนี่แหละ ดังนั้น คอนเนอร์ก็จำต้องเสี่ยงครั้งใหญ่และแหกทุกกฎที่เขาเคยตั้งไว้สำหรับตัวเอง เขารู้ว่าเครื่องจักรกลจะใช้ส่วนที่ดีที่สุดของมนุษยชาติในการต่อกรกับเรา แล้วเขาจะไว้วางใจคนที่เขารู้ว่าเป็นเครื่องจักรกลได้ยังไงล่ะครับ"
ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาอาจจะอยู่ที่การไว้วางใจซึ่งกันและกันและการที่ความไว้วางใจเพียงอย่างเดียวจะเพียงพอ "ความเป็นมนุษย์จริงๆ แล้วอยู่ที่ไหนกันแน่" ผู้กำกับถาม "มันอยู่ที่ความแข็งแกร่งของหัวใจมนุษย์รึเปล่า อะไรที่ทำให้เราอยากจะตายเพื่อคนอื่น นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยเครื่องจักรกลใดๆ ครับ"
"มือของปีศาจไม่เคยว่าง":
การสร้างกองทัพคนเหล็ก
"หนึ่งในความสุขของหนังเรื่องนี้คือคุณจะได้เห็นเครื่องจักรกลทั้งหมดในบริบทของสกายเน็ท" แม็คจีบอก "มันเหมือนกับกองทหารร่วมสมัย ที่จะมีเครื่องจักรกลในน้ำ บนพื้นดิน ในท้องฟ้า…มันเป็นการผจญภัยที่น่าทึ่งเพียงแค่มองคนเหล็กรูปแบบแตกต่างกันไปในโลกใบนี้เพราะคุณอยากจะเห็นทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวทุกอย่างที่สกายเน็ทพยายามจะสร้างกว่าที่จะไปถึง T-800 ซึ่งเป็นเครื่องจักรสังหารที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดของพวกมันน่ะครับ"
กองทัพเครื่องจักรกลที่เพ่นพ่านไปทั่ว "Terminator Salvation" ที่ถูกสร้างขึ้นจากภาพวาดโดยผู้ออกแบบงานสร้าง มาร์ติน แลงและทีมผู้กำกับศิลป์ของเขา มีชีวิตขึ้นมาได้ภายใต้การควบคุมของสแตน วินสตัน ผู้สร้างสิ่งมีชีวิตในตำนาน ผู้ออกแบบ T-800 ตัวต้นแบบ น่าเศร้าที่วินสตันได้จากไประหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ "สแตนเคยสารภาพกับผมว่าสมัยเด็ก เขาได้สร้างสัตว์ประหลาดในจินตนาการขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนเขา" แม็คจีเล่า "เขาบอกว่าเขารู้สึกเหมือนเป็นเด็กคนเดียวในโลกที่ทำแบบนี้ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเพื่อนสมัยเด็กของเขาจะกลายมาเป็นฮีโรของคนนับล้าน แต่ที่สำคัญที่สุด สแตนเป็นคนดีที่รักในสิ่งที่เขาทำ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับสแตน วินสตัน ผมตั้งใจจะอุทิศหนังเรื่องนี้ให้กับเขาครับ"
จอห์น โรเซนแกรนท์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเอฟเฟ็กต์ที่สแตน วินสตัน สตูดิโอ ได้นำทีมที่มีสมาชิก 60 คน ในการสร้างคนเหล็กรุ่นนี้ และได้ดูแลเมคอัพสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ทั้งหมด เดิมทีวินสตันได้เลือกโรเซนแกรนท์ให้ทำงานใน "Terminator" ภาคแรกและกลายมาเป็นอาจารย์ของเขา มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันเหลือเชื่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการมากมายทางด้านอนิเมโทรนิคส์และสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
สำหรับโรเซนแกรนท์แล้ว จำนวนงานมหาศาลสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้นวัตกรรมใหม่ "ความท้าทายใน ‘Terminator Salvation’ คือการคิดหาวัสดุน้ำหนักเบาที่สามารถจำลองความเป็นโลหะได้" โรเซนแกรนท์บอก "เราใช้การผสมผสานระหว่างยูริเธนส์และพลาสติก ซึ่งถูกทาสีด้วยการใช้เทคโนโลยีทาสีแบบใหม่เพื่อสร้างลุคแบบโลหะขึ้นมาครับ"
ใน "Terminator Salvation" ความท้าทายยังรวมถึงการสร้างคนเหล็กที่จะเป็นส่วนเพิ่มเติมที่สมเหตุสมผลภายในโลกของ "Terminator" ขึ้นมาด้วย "ด้วยความที่เราอยู่ในยุคก่อนกรอบเวลาของหนังสามภาคแรก เราก็เลยต้องอาศัยวิศวกรรมย้อนกลับครับ" แลงกล่าว "ในลักษณะเดียวกับที่แล็ปท็อปของคุณเมื่อสิบปีก่อนจะหนาเทอะทะ แต่แล้วมันก็บางลงๆ พวกคนเหล็กที่คุณรู้จักก็คือแล็ปท็อปบางเฉียบ ส่วนคนเหล็กของเราจะเป็นแล็ปท็อปหนาเต้อะ พวกมันจะมีแบบดีไซน์ที่ใหญ่กว่าและป่าเถื่อนกว่าครับ"
นอกเหนือจากนั้น แม็คจียังมีภาพที่ชัดเจนในใจในการให้สีภาพยนตร์ทั้งเรื่อง โดยเฉพาะเครื่องจักรกล "ผมไม่อยากได้โลกหุ่นยนต์ที่เงาวับ" แม็คจีบอก "ผมไม่อยากได้อนาคตที่ใสสะอาด ผมอยากได้อนาคตที่หดหู่ ผมอยากได้คราบสกปรกบนผิวโลหะของเครื่องจักรกล เหมือนอย่างรถถังยุคโซเวียตที่ไม่ได้ไปทาสีใหม่และปรับแต่งเครื่องใหม่มานานแล้วน่ะครับ"
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นหลังวันอวสานโลก เหล่าคนเหล็ก ซึ่งถูกพูดถึงมาก่อนในภาคเริ่มแรก ก็ถูกเปิดตัวออกมา "เราอยู่ในช่วงเวลาเชื่อมต่อครับ" คริสเตียน เบลบอก "ในปี 2029 ที่เราเคยเห็นในภาคก่อนๆ สกายเน็ทได้ควบคุมกองทัพ T-800 และฮันเตอร์-คิลเลอร์ทั้งหมด แต่สิ่งที่เราเห็นอยู่ตอนนี้คือจุดกำเนิดของ T-800 ครับ ในปัจจุบัน เรายังมี T-600 ซึ่งมันเป็นเวอร์ชันที่ป่าเถื่อนกว่าของ T-800 และกองทัพเครื่องจักรกลหลากหลายประเภทครับ"
ทหารภาคพื้นดินที่สำคัญของสกายเน็ทคือ T-600 ซึ่งแม็คจีพูดถึงว่า "ใหญ่กว่าและร้ายกาจกว่า" T-800 มันเป็นเหมือนบูอิคปี 57 มาเปรียบเทียบกับเมอร์ซีเดซ เบนซ์ปี 2009 ครับ"
T-600 ซึ่งมีร่างสูงใหญ่เจ็ดฟุตสามนิ้ว เป็นเวอร์ชันแบบหยาบๆ ของสิ่งที่จะกลายมาเป็น T-800 ในที่สุดด้วยผิวยางง่ายๆ ที่ถูกดึงมาปกคลุมหน้า และเศษผ้ารุ่งริ่งที่ใช้ปิดบังโครงร่างของมัน มัน "เดินตรวจตราไปทั่วดินแดนรกร้างแห่งนี้เพื่อหาสิ่งที่มีหัวใจเต้น มันเป็นเครื่องจักรกลไร้ปรานีที่มีเป้าหมายในการฆ่าเพียงอย่างเดียวครับ" แม็คจีกล่าว
พวกมันมีอาวุธเป็นปืนขนาดเล็ก ปืน M 203 ที่สามารถยิงกระสุนได้ 3,000-6,000 นัดต่อนาที และกระสุนสำรองครบถ้วน ทีมผู้สร้างต้องการจะออกแบบ T-600 ให้เป็นเครื่องจักรที่ล้าสมัยจนเลิกผลิตไปแล้ว แต่มันก็ยังคงทำหน้าที่ในการลาดตระเวนอยู่ ทั้งๆ ที่สภาพมันก็เก่าคร่ำเครอะเต็มที พื้นผิวที่ใช้อำพรางตัวของพวกมันถูกทำลายไปในสงครามหรือสลายไปกับสภาพดินฟ้าอากาศ อย่างที่ไคล์ รีสเคยพูดไว้ใน "The Terminator" ว่า "พวกแรกๆ น่ะมองเห็นได้ง่าย"
T-600 ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยการใช้กลไกและหุ่นชักผสมผสานกับ CGI ได้ปรากฏร่างในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในลักษณะพังยับเยินหลายๆ แบบ "มันทำให้พวกมันมีคุณสมบัติที่น่าขนลุกเหมือนกับซอมบี้เมื่อคุณได้เห็นมัน ยกตัวอย่างเช่น ขากรรไกรด้านล่างของมันจะแยกออกมา หรือจะมีผิวหนังบางส่วนที่หลุดลอกออกจากใบหน้าของพวกมันครับ" โรเซนแกรนท์กล่าว
สิ่งที่เราเคยเห็นในภาพ "อนาคต" ของภาคที่ผ่านๆ มาก็คือยานอวกาศเครื่องจักรที่ถูกเรียกว่า ฮันเตอร์-คิลเลอร์ ตัวฮันเตอร์-คิลเลอร์ หรือเอช-เค จะลาดตระเวนบนน่าฟ้า คอยสอดส่องแสงไฟขนาดใหญ่ลงสู่พื้นด้านล่าง เช่นเดียวกับ T-600 เอช-เค เวอร์ชันของ "Terminator Salvation" จะเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ป่าเถื่อนกว่าสิ่งที่สกายเน็ทจะพัฒนาขึ้นมาได้ในที่สุด
สิ่งที่คอยตระเวนหามนุษย์ที่รอดชีวิตคือเครื่องมือขนาดเล็กที่มีชื่อว่าแอโรสแตทส์ ทหารยามอากาศที่มีความยาวสี่ฟุตนี้จะบินวนเวียนใกล้ๆ พื้นดิน เพื่อสืบหาสัญญาณที่บ่งบอกถึงชีวิตมนุษย์ พวกมันที่มีพร้อมทั้งกล้องดิจิตอลและเทคโนโลยีบันทึกภาพแบบเลเซอร์ จะส่งรายงานผ่านทางไวร์เลสกลับไปยังสกายเน็ท ซึ่งจะส่งพวกฮาร์เวสเตอร์เข้าไปอีกที
"หนึ่งในพวกเครื่องจักรกลที่ผมชื่นชอบที่สุดก็คือฮาร์เวสเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลที่คอยจับตัวมนุษย์ครับ" แม็คจีบอก ฮาร์เวสเตอร์ ที่มีร่างสูงประมาณ 80 ฟุต มีรูปร่างคล้ายแมงมุม ด้วยแขนและขาโลหะหลายข้างที่ยืดออกมาจากส่วนตัวที่เหมือนช่วงอก โดยส่วนที่ยื่นออกมาที่เหมือนกับกรงเล็บนั้นจะคอยจับเหยื่อของมัน ส่วนตาที่เป็นเหมือนกล้องตามขายาวๆ ก็ไว้สำหรับมองภาพความเสียหาย "หน้าที่ของมันคือการบุกเข้าไปในสถานที่ใดก็ตามที่มนุษย์ซ่อนตัวอยู่ คว้าตัวพวกเขามา แล้วจับพวกเขาใส่ยานขนส่งเพื่อนำตัวกลับไปสกายเน็ทครับ"
หากกลยุทธนั้นไม่ได้ผล ฮาร์เวสเตอร์ก็จะปล่อยโมโต-เทอร์มิเนเตอร์ออกมา "ด้วยความที่ฮาร์เวสเตอร์มีขนาดใหญ่ ระหว่างที่มันควบคุมตัวมนุษย์ก็มักจะมีบางคนที่หลุดรอดไปได้" แลงกล่าวต่อ "ดังนั้น มันก็เป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่ใช้สุนัขเฝ้าแกะ ฮาร์เวสเตอร์ก็จะมีโมโต-เทอร์มิเนเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลที่เหมือนกับมอเตอร์ไซค์ ที่จะวิ่งไล่ตามมนุษย์และนำพวกเขากลับมา พวกมันมีปืนและสามารถฆ่าคนได้ แต่เป้าหมายของพวกมันก็คือการตามล่าตัวผู้หลบหนีและส่งตัวพวกเขากลับไปให้ฮาร์เวสเตอร์เพื่อจับใส่ไปในยานขนส่งทรานสปอร์ตเตอร์ครับ"
เครื่องจักรกลที่พลิ้วไหวนี้ถูกสร้างขึ้นจากเค้าโครงของมอเตอร์ไซค์ดูคาติ ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อโปรดของผู้กำกับแม็คจี ทีมผู้สร้างได้ทาบทามบริษัทอิตาเลียนแห่งนี้และพวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมกับภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขาได้สนับสนุนมอเตอร์ไซค์ไฮเปอร์มอเตอร์สี่คันมาใช้ในการถ่ายทำด้วย
"เราจะต้องมีโมโต-เทอร์มิเนเตอร์ที่ดูสมจริงในหนังเรื่องนี้ เราก็เลยไปหาพวกดีไซเนอร์และทีมงานจากดูคาติครับ" แม็คจีบอก "ดูคาติเป็นมอเตอร์ไซค์ที่เพรียว ทรงพลังและปราดเปรียว มันก็เลยดูเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมในตอนที่เราสร้างภาษาของโมโต-เทอร์มิเนเตอร์ขึ้นมาครับ"
ทีมงานวิชวล เอฟเฟ็กต์สามารถจะวางลุคของโมโต-เทอร์มิเนเตอร์ทับซ้อนลงไปบนมอเตอร์ไซค์ดูคาติจริงๆ ได้ และทีมงานยังได้สร้างโมโต-เทอร์มิเนเตอร์ขึ้นมาจริงๆ ในลอสแองเจลิสเพื่อใช้ในระหว่างการถ่ายทำด้วย
สกายเน็ทได้ปกครองผืนแผ่นดินด้วยเครื่องจักรกลเหล่านี้ แต่สำหรับทะเล ทะเลสาบและแม่น้ำแล้ว มันได้พัฒนาเครื่องจักรกลใต้น้ำพิเศษขึ้นมา ในชื่อว่าไฮโดรบ็อท ไฮโดรบ็อทที่มีลักษณะคล้ายกับงูที่มีความยาวสี่ฟุต มันไร้ดวงตา แต่มีศีรษะที่คมกริบที่จะเจาะเข้าไปในตัวเหยื่อของมัน มันจะตอบสนองต่อเสียงและการสั่นสะเทือนในน้ำที่มันลาดตระเวนอยู่ "ไฮโดรบ็อทกลายเป็นตัวละครที่ตลกและน่าสนใจครับ" โรเซนแกรนท์กล่าว "มันเป็นเหมือนส่วนผสมระหว่างปูโรคจิตและงูทะเลซักชนิด พอมันจับตัวคุณได้แล้ว คุณก็เสร็จแน่ๆ ครับ"
เครื่องจักรกลเหล่านี้ท้าทายเป็นพิเศษสำหรับโรเซนแกรนท์และทีมงานของเขา "ไม่ใช่เพียงเพราะว่ามันละเอียดมากแค่ไหน แต่เป็นเพราะพวกมันจะต้องปฏิบัติการณ์ในน้ำ และมันก็จะต้องโดนทำลายอย่างค่อนข้างหนักด้วย" เขากล่าวต่อ "ในตอนทำงานใต้น้ำ อุปกรณ์ควบคุมทางวิทยุที่คุณมักจะใช้ตามปกติจะไร้ประโยชน์ ทำให้คุณต้องทำงานกับสายไฟหรือแรงดันอากาศแทน และไฮโดรบ็อทก็จะต้องอึดพอที่จะถูกเหวี่ยง ถูกขว้างหรือถูกโยนทิ้งจากเฮลิคอปเตอร์ ถูกชกผ่านวัตถุอื่นๆ ได้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ต้องไม่จัดการยากมากจนเราไม่สามารถชักใยมันได้ครับ"
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาลงเอยด้วยการผสมผสานโครงสร้างเหล็ก ที่ถูกทำให้มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เข้ากับชิ้นส่วนยูริเธนน้ำหนักเบาที่ถูกทาสีให้ดูเหมือนโลหะ "ที่สุดแล้ว เราก็ได้ช็อตเพิ่มเติมมากมายอย่างที่พวกเราไม่มีใครคิดว่าจะได้จากการใช้โมเดล" โรเซนแกรนท์บอก "เราคิดว่ามันจะต้องถูกเสริมด้วย CGI แต่เราทุกคนต่างก็ทึ่งว่ามันออกมาสวยขนาดไหนน่ะครับ"
เมื่อได้เห็นเหล่านักเชิดหุ่นของสแตน วินสตันทำงานกับกลไกหลายแบบ เบลก็พบว่าความทุ่มเทของพวกเขาเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา "พวกเขาฝึกกันมานาน และเข้าใจเรื่องการเคลื่อนไหวจริงๆ" เบลเล่า "กับทีมสแตน วินสตัน มันเหลือเชื่อที่ได้เห็นรายละเอียดที่พวกเขาใส่ลงไปในผลงานของพวกเขา ความอดทนอย่างเหลือเชื่อ และความรักในสิ่งที่พวกเขาทำ ผมชอบที่ได้เห็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาทำและคนพวกนี้ก็หมกมุ่นอยู่กับการสร้างโมเดลครับ พวกเขาอยากจะขัดเกลา T-600 ตอนที่มันหันหัวหรือจู่โจมใครซักคนให้สมบูรณ์แบบครับ และพวกเขาก็ทำงานอย่างซีเรียสมากๆ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องวิเศษสุดครับ"
หากแต่สิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยที่สุดของสกายเน็ทไม่ใช่โลหะทั้งหมด เพราะมันคือมาร์คัส สิ่งมีชีวิตที่ผสมผสานระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรกล ผู้ได้เรียนรู้ถึงการถูกดัดแปลงให้เป็นเครื่องจักรกลของเขาระหว่างการดำเนินเรื่อง
เมคอัพสเปเชียล เอฟเฟ็กต์และชิ้นส่วนเทียมของมาร์คัสถูกสร้างขึ้นโดยโรเซนแกรนท์ ผู้ซึ่งทีมงานของเขาได้ช่วยกันพัฒนาตัวแปรหลากหลายเพื่อตอบสนองต่อสถานภาพต่างๆ ของมาร์คัส ซึ่งรวมถึงภาพที่เผยให้เห็นถึงกลไกภายในร่างกายเขาหลังจากที่เขาถูกพวกกองกำลังต่อต้านจับตัวได้
การสร้างมาร์คัส ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างชิ้นส่วนเทียมขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีล่าสุด การเมคอัพและ CGI เป็นงานซับซ้อนที่จำเป็นต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์และความอดทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแซม เวิร์ธธิงตัน ผู้ต้องนั่งรอการเมคอัพจากฝีมือช่างเมคอัพสามคนเป็นเวลาหกชั่วโมง
ผลสำเร็จที่ได้ ซึ่งแม็คจีทำได้ด้วยความช่วยเหลือจากทีมงานช่างฝีมือจากทุกแง่มุมของงานสร้าง ก็คือภาพตราตรึงที่ได้สร้างให้เกิดบทใหม่ในตำนาน "Terminator" อย่างแท้จริง "หนังเรื่องอื่นๆ ในซีรีส์นี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นในปัจจุบัน" ผู้กำกับกล่าว "หนังของเราเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริง เราแสดงให้เห็นถึงจุดกำเนิดของเครื่องจักรกลที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ เราได้เข้าไปในสกายเน็ท เราได้เห็น CPU ที่จะแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของเครื่องจักรกลไปสู่การมีอำนาจเด็ดขาด ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อที่จะมีบทบาทในการสร้างความต่อเนื่องให้กับเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาตลอดชีวิต และมันก็ยังคงสื่อถึงอนาคตและเข้าถึงได้ในปัจจุบันครับ"
สำหรับเบล ผู้ได้เห็นฟุตเตจระหว่างการถ่ายทำของเหล่าคนเหล็กที่กำลังเคลื่อนไหว ความตื่นเต้นของเขาก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เขาตั้งข้อสังเกตพร้อมกับรอยยิ้มว่า "เราได้ถ่ายทำไปด้วยความคิดที่ว่าเราเป็นตัวเอก แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลยครับ คนไม่ได้จะมาดูเรา เราจะต้องให้เรื่องราวอะไรบางอย่างกับมันบ้าง เพราะไม่ว่าพวกเครื่องจักรกลพวกนี้และฉากระเบิดจะยอดเยี่ยมแค่ไหน คุณก็ต้องมีเรื่องราวดีๆ ไม่งั้นมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า พวกเทอร์มิเนเตอร์เป็นดาราตัวจริงเสียงจริงของหนังเรื่องนี้ครับ พวกมันจะทำให้ทุกคนทึ่งอึ้งตะลึงไปเลย"
"ถึงวันอวสานโลก":
การสร้างโลก "Terminator Salvation"
ความท้าทายสำหรับทีมผู้สร้าง "Terminator Salvation" ก็คือการเนรมิตชีวิตให้ดินแดนอเมริกายุค 2018 ที่ถูกแสงแดดแผดเผา เมืองถูกทิ้งร้าง และมีมนุษย์และเทอร์มิเนเตอร์เป็นผู้อยู่อาศัย ในการหาโลเกชันและสถานที่ถ่ายทำที่เหมาะสม การสร้างวัตถุขึ้นมาจริงๆ ไปจนถึงการหาประเภทของฟิล์มที่จะใช้บันทึกภาพหลุดโลกตามที่เขาต้องการ แม็คจีได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับทีมงานของเขาเพื่อสร้างภาพโลกหลังหายนะของเรื่องราวขึ้นมา
ในการใช้โทนภาพหลังสงคราม แม็คจีและเชน เฮิร์ลบุท ผู้กำกับภาพได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยการใช้เวอร์ชันทดลองของ "กระบวนการออซ" ในการล้างฟิล์ม "เราใช้สต็อคฟิล์มเก่าจากโกดักแล้วปล่อยให้มันตากแดดเพื่อให้คุณภาพบางอย่างของมันลดลง" แม็คจีอธิบาย "แล้วเราก็ล้างมันในแบบที่เราจะเพิ่มสีเงินเข้าไปมากกว่าปกติที่คุณจะเพิ่มให้กับสต็อคฟิล์มสีน่ะครับ หลังจากนั้น เราก็ไปควบคุมสีนั้นในสื่อดิจิตอลเพื่อทำให้หนังเรื่องนี้มีคุณสมบัติเหนือจริง ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกไปกับลักษณะของโลก ซึ่งมันก็เข้ากันได้ดีกับอารมณ์ของหนังทั้งเรื่องครับ"
โลเกชันก็มีบทบาทสำคัญในการรักษาความสมจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน "เราอยากจะได้โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลครับ" แม็คจียืนยัน "ในการทำแบบนั้น เราก็ต้องการโลเกชันที่หลากหลาย ในหนังเรื่องนี้ เราไปทะเล เราไปบนยอดเขา เราไปในทะเลทราย เราไปในป่า นอกเหนือจากนั้น เราอยากจะบันทึกภาพโลกที่อยู่ในภาวะสงคราม โลกทั้งใบตกอยู่ในความขัดแย้งนี้ และเราก็อยากจะเปิดหนังเรื่องนี้ให้กว้างขึ้นและทำให้มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นประสบการณ์ในโรงหนังที่ยิ่งใหญ่ในแง่นั้นครับ"
ทีมผู้สร้างสามารถทำทุกอย่างตามต้องการได้ในสถานที่แห่งเดียว เมื่อพวกเขาเลือกอัลบูรเคอร์เคอ, นิวเม็กซิโก ที่มีทั้งทะเลทรายกว้างใหญ่ ภูมิประเทศแบบภูเขาและสเตจทันสมัยที่อัลบูเคอร์เคอ สตูดิโอส์
"เมื่อคุณสร้างหนังเกี่ยวกับไอคอนของอเมริกันชน ติดตามการผจญภัยของจอห์น คอนเนอร์ขณะที่พวกเขาไล่ตามพวกเทอร์มิเนเตอร์ คุณก็อยากจะใช้ฉากหลังที่เป็นอเมริกันครับ" แลง ผู้ออกแบบงานสร้างกล่าว "วันอวสานโลกเกิดขึ้นแล้ว เราก็เลยใช้ภูมิประเทศที่
เวิ้งว้าง ซึ่งพอคุณเปิดประตูสเตจเข้าไป คุณก็จะได้เห็นทะเลทรายที่น่าทึ่งพวกนี้ และอัลบูเคอร์เคอ สตูดิโอส์ นอกจากจะเป็นสตูดิโออเนกประสงค์แล้ว มันยังมีอาณาบริเวณกว้างขวางรอบๆ ที่เราสามารถสร้างฉากขึ้นมาได้"
สำหรับสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงร่องรอยของกองทัพที่ทรงพลังภายในพวกกองกำลังต่อต้าน ทีมผู้สร้างก็ได้หันไปขอคำแนะนำและความช่วยเหลือ อีกทั้งขอยุทโธปกรณ์ จากกระทรวงกลาโหมที่อยู่ในฐานทัพอากาศเคิร์ทแลนด์ ที่อยู่ใกล้ๆ นั้นเอง "‘Terminator Salvation’ มีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่ปราศจากกองทัพอากาศ ปราศจากกองทัพ มันมีแต่กองกำลังต่อต้านครับ" ผู้อำนวยการสร้างเจฟฟรีย์ ซิลเวอร์บอก "แต่เราคิดว่าพวกกองกำลังต่อต้านน่าจะเลียนแบบระเบียบข้อบังคับของกองทัพในปัจจุบัน เราก็เลยไปหาชัค เดวิส ผู้ประสานงานและผู้ติดต่องานสายภาพยนตร์ของกระทรวงกลาโหมในลอสแองเจลิส เขาแนะนำเราให้รู้จักกับกองทัพอากาศและพวกเขาก็เปิดประตูกว้างสำหรับเรา เราได้ยุทโธปกรณ์ทุกอย่างที่เราต้องการ เราสามารถจะยิงปืนในอาณาบริเวณของกองทัพอากาศได้ เราได้รับความร่วมมืออย่างดีเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่า ในอนาคตที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ กองทัพยังคงเป็นกลุ่มคนที่คุ้มครองพวกเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ"
ทีมงานได้ใช้เครื่องบินและอาวุธเพื่อสะท้อนถึงข้าวของที่มนุษย์สามารถหาได้ภายในบริบทของภาพยนตร์เรื่องนี้ "กองกำลังต่อต้านมีอาวุธบางอย่าง มันก็เลยไม่ใช่การเอาไม้กับก้อนหินไปสู้กับเครื่องจักรกลครับ" แม็คจีกล่าว "พวกเขาใช้เครื่องบิน A-10 และเครื่องจักรดัดแปลงรุ่นเก่าในการสู้กลับ"
เครื่องบินเจ็ททหารที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องราวก็คือเครื่องบิน A-10 ธันเดอร์โบลท์ ทู (ที่เป็นที่รู้จักในนามไมท์ตี้ วอร์ธ็อก, เดอะ ฟลายอิ้ง กันและเดอะ แทงค์บัสเตอร์) เครื่องบิน A-10 ที่แบลร์ วิลเลียมส์ขับ เป็นหนึ่งในกำลังสนับสนุนทางอากาศที่ดีที่สุดที่กองกำลังต่อต้านใช้ต่อกรกับเครื่องจักรกลขนาดยักษ์ใหญ่ของสกายเน็ท เจนนิเฟอร์ โช้ค กัปตันในกองทัพอากาศ ซึ่งเป็นนักบินเครื่อง A-10 และให้คำแนะนำกับบลัดกู๊ดสำหรับการแสดงบทนี้ของเธอ ตั้งข้อสังเกตว่า "เครื่องบิน A-10 จะร่อนลงต่ำเรี่ยพื้นดิน ภารกิจของมันคือการบินให้ต่ำและช้า มันเป็นเครื่องบินสนับสนุนทางอากาศที่ใช้ช่วยเหลือกองทัพภาคพื้นดินค่ะ"
เครื่องบินชนิดอื่นที่ทีมผู้สร้างได้ใช้ ด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพอากาศและนักบินของมันคือ CV-22 Osprey ซึ่งสามารถบินด้วยความเร็วแบบเครื่องบิน แต่มีเทคโนโลยีแกนใบพัดหมุนเอียง ที่ทำให้มันสามารถบินขึ้นและลงจอดเหมือนกับเฮลิคอปเตอร์, เครื่องบินขนส่ง C-130 Hercules และเฮลิคอปเตอร์ HH-60 Pave Hawk ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์แบล็คฮอว์คแบบดัดแปลงที่มีปืนติดตั้งภายนอก
ด้วยความที่ว่าไม่ใช่ทุกซีเควนซ์ที่ต้องอาศัยอาวุธยุทโธปกรณ์จริงๆ ทีมงานสร้างยังได้สร้างม็อคอัพและใช้เครื่องบินชำรุด ซึ่งถูกติดตั้งบนเครื่องจำลองการเคลื่อนไหว เพื่อเลียนแบบลักษณะการบินของเครื่องบินแต่ละประเภท ทีมงานสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ที่นำทีมโดยไมค์ เมนาร์ดัส ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ได้ติดกลไกตัวยืดและแขวนเฮลิคอปเตอร์ไว้กับเครน เพื่อที่จะได้มีการขยับเขยื้อนเครื่องบินประกอบฉากได้อย่างสมจริงจากด้านบน และแม็คจีก็จะสามารถถ่ายทำได้จากด้านล่างขณะที่มันถูกดึงออกจากฉากโดยปราศจากใบพัดหมุน
ด้วยความที่กองทัพอากาศเคิร์ทแลนด์ใช้ลานบินกับสนามบินพาณิชย์ ซันพอร์ทแห่งอัลบูเคอร์เคอ กองทัพอากาศก็เลยเสนอโรงเก็บเครื่องบินที่ว่างอยู่ให้ทีมงานได้ใช้จัดฉาก ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว มันก็ถูกใช้แทนฐานที่มั่นของกองกำลังต่อต้าน
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ค่ายทหารนี้ประกอบไปด้วยหลุมมิสไซล์แบบยุค 60s ที่เชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ "ทุกอย่างที่คุณได้เห็นในค่ายทหารจะเป็นสิ่งที่พวกกองกำลังต่อต้านได้สร้างขึ้น ทั้งเพื่อสร้างพลังงาน ปลูกสิ่งที่กลายเป็นอาหาร สร้างระบบกรองน้ำ หาอุปกรณ์ให้กับโรงพยาบาล ซึ่งจะเป็นของที่คนพวกนี้ลากเข้ามาจากการออกไปปฏิบัติภารกิจสอดแนมด้านนอกและสิ่งที่พวกเขาสามารถจับแพะชนแกะมาผสมกันได้เพื่อทำให้สถานพยาบาลแห่งนี้ใช้งานได้จริงๆ ครับ" แลงบอก
ในการค้นคว้าข้อมูลสำหรับการสร้างฐานทัพกองกำลังต่อต้าน แลงได้ไปสำรวจหลุมหลบนิวเคลียร์ใต้กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี และดูหลุมหลบภัยหลังหายนะอื่นๆ "ผมได้ถ่ายภาพมากมายและกลับมาสร้างสิ่งแวดล้อมที่กองกำลังต่อต้านใช้ชีวิตและวางแผนครับ" เขากล่าว "ชายและหญิงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ต้องสู้กับสกายเน็ท แต่พวกเขายังต้องต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในนั้นด้วย แหล่งทรัพยากรเหือดแห้งไปจนหมด และพวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่กับโลกเท่าที่พวกเขามีครับ"
ทีมผู้สร้างได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านอนาคตถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพืช สัตว์และวัตถุที่สร้างขึ้นจากมือมนุษย์ "เราอยากจะใส่รายละเอียดเหล่านั้นเข้าไปในหนังของเราครับ" ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล วิลคินสันบอก "เราถามว่า ‘ถ้าเกิดระเบิดขึ้นเมื่อประมาณ 14 ปีที่แล้วและทำลายพื้นที่อเมริกาเหนือไปจนเกือบหมด จะเหลืออะไรบ้าง แล้วผู้คนจะเสาะหาหรือรวบรวมอะไรเพื่อเอาชีวิตรอดหรือเพื่อสู้บ้างล่ะ’ น่ะครับ"
อาวุธล้าสมัยที่ยังใช้การได้ เสื้อผ้ารีไซเคิล เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกเก็บมาจากกองขยะและลูกกระสุนปืนดัดแปลงที่ถูกพบหรือขโมยมาจากศัตรู ทั้งหมดนี้คือเสบียงกรังของกองกำลังต่อต้าน ทีมงานออกแบบได้เริ่มต้นสำรวจไปทั่วนิวเม็กซิโก ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพมานานแล้ว เพื่อหาชิ้นส่วนจริงๆ จากลานของเหลือของกองทัพและจากนักสะสมในท้องถิ่น
วิลคินสันเล่าว่า "แม็คจีไม่อยากจะให้หนังเรื่องนี้ดูเหมือนหนังไซไฟเพ้อฝันที่ไกลเกินเอื้อมครับ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในปี 2018 ไม่ใช่อนาคตอันไกลโพ้น มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง เราก็เลยค้นคว้าประวัติศาสตร์ถึงสิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อจิตใจมนุษย์ เรื่องราวของผู้คนอพยพและเรื่องเล่าหลังหายนะครับ"
ในการออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับตัวละครหลักของเรื่อง วิลคินสันได้ร่วมงานกับแม็คจี, แลงและตัวนักแสดงเองเพื่อทำให้แน่ใจว่าเสื้อผ้าแต่ละชุดจะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามต้องการ ซึ่งอย่างแรกเลยคือความสมจริง "เราได้รวบรวมเสื้อผ้ามากมายจากหลายแหล่ง ทั้งจากกองทัพต่างๆ ในอเมริกาเหนือ เครื่องแบบตำรวจและนักกลยุทธ เครื่องแบบช่างเทคนิคและเสื้อผ้าตามท้องถนนทั่วๆ ไป ด้วยความคิดเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่ผู้คนจะมีหลังจากสงครามนิวเคลียร์น่ะครับ" เขาอธิบาย "อะไรที่รอดมาได้บ้างล่ะ กองทัพมารวมตัวกันเพื่อสร้างเครื่องแบบแบบไหน เรามักจะเดินอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความสมจริงกับความถูกต้อง และการเสริมแต่งสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้ภาพแปลกใหม่ที่มีเสน่ห์ครับ"
ความต่อเนื่องกับภาคก่อนๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่วิลคินสันใช้สำหรับการออกแบบเครื่องแต่งกาย สำหรับจอห์น คอนเนอร์ วิลคินสันได้ใช้กางเกงทหารลายเสือที่สะท้อนกลับไปถึงเสื้อผ้าที่คอนเนอร์วัยหนุ่มสวมใส่ใน "Terminator" ภาคสอง แต่นอกเหนือจากนั้น เขาก็คอยระวังให้เงาร่างของคอนเนอร์ดูเพรียวบาง "กับคริสเตียน ยิ่งน้อยยิ่งดีครับ" วิลคินสันตั้งข้อสังเกต "ความเข้มข้นในการแสดงของเขาและความน่าเกรงขามของเขาบอกคุณให้รู้ว่าจอห์น คอนเนอร์คือใคร ลุคของเขามีความเป็นกลางบางอย่างที่ช่วยให้คุณได้รู้จักกับจอห์น คอนเนอร์ที่แท้จริงครับ"
อีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือรองเท้าผ้าใบที่ไคล์ รีสสวม มันเหมือนกับรองเท้าบู๊ทที่เขาจะสวมตอนเป็นผู้ใหญ่ อย่างที่เราได้เห็นใน "The Terminator" ซึ่งทีมงานฝ่ายเครื่องแต่งกายก็ได้ปรับเปลี่ยนหนังบุภายในและเชือกผูกรองเท้าเสียใหม่ มันสนุกจริงๆ ครับเพราะคุณจะได้เริ่มต้นด้วยตัวละครไอคอนที่วิเศษสุดพวกนี้ แล้วค่อยปรับเปลี่ยนพวกเขาให้เข้ากับวิสัยทัศน์ที่เรามีต่อหนังเรื่องนี้ครับ" วิลคินสันกล่าว
เขาได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับมาร์คัส ลูกผสมเทอร์มิเนเตอร์แห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยการใช้หนังที่จะสะท้อนให้เห็นถึงเครื่องแต่งกายของ T-800 "เรานำกางเกงหนังแบบสิงห์มอเตอร์ไซค์ตัวเก่ามาทำให้มันเก่าแก่ขึ้น มันก็เลยจะมีร่องรอยของกาลเวลา แล้วเราก็นำแจ็คเก็ตหนังสองตัวมาตัดเย็บเข้าด้วยกันเพื่อให้มันกลายมาเป็นแจ็คเก็ตตัวเดียวครับ" เขาขยายความ
นอกจากนี้ วิลคินสันยังได้ร่วมงานกับทีมงานจากสแตน วินสตัน สตูดิโอเพื่อรักษาความต่อเนื่องขณะที่เครื่องแต่งกายที่เขาออกแบบและผิวหนังจะหลุดลอกออก และเผยให้เห็นถึงกลไกด้านในระหว่างการผจญภัยของเขา "เราได้กำหนดว่าอะไรจะถูกเผยออกมา และเมื่อไหร่และอย่างไร" เขาเล่า "ตลอดทั้งเรื่อง เขาจะมีลุคหลักๆ สามแบบ และแต่ละแบบก็จะต้องมีเครื่องแต่งกาย 10 หรือ 20 เวอร์ชันที่อยู่ในลักษณะต่างกันทั้งแบบที่สะอาด ยับยู่ยี่ ฉีกขาด เปรอะเปื้อน ถูกไหม้ ถูกยิงผ่าน และ ฯลฯ ครับ"
วิลคินสันกล่าวเสริมอีกว่า เขาได้ตัดเย็บเครื่องแต่งกายที่มีรายละเอียดพิเศษสำหรับตัวละครหญิงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งรวมถึงชุดนักบินแนบเนื้อของแบลร์และชุดที่หลวมโคร่งของสตาร์ "สิ่งที่ผมกับแม็คจีชอบจริงๆ ก็คือความคิดที่ว่า ท่ามกลางโลกเครื่องจักรกลที่พวกมันทุกตัวดูเหมือนกันไปหมด มนุษย์แต่ละคนกลับแตกต่างกันเพราะพวกเขาจะแสดงออกถึงตัวตนของตัวเองผ่านทางเสื้อผ้าครับ" เขาตั้งข้อสังเกต "เรามองคนเนทีฟอเมริกันในบริเวณนี้เพื่อสังเกตลักษณะที่พวกเขาได้ใช้การประดับตกแต่งกับสิ่งของมีประโยชน์ที่พวกเขาแบกถือ ดังนั้น บนชุดทหาร เราก็จะมีส่วนประกอบที่สร้างขึ้นจากพืชพันธุ์ด้วยมือมนุษย์ ในลักษณะนั้นเอง สตาร์ก็จะติดตรารูปดาวของตำรวจไว้บนหมวกของเธอ ส่วนแบลร์ก็จะสวมทั้งโซ่ ล็อคเก็ต ขนนกและวัตถุอื่นๆ ที่เธอพบเพื่อเป็นเครื่องประดับครับ"
การจัดหาอาวุธให้ตัวละครยังต้องผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับความสมจริงที่สามารถใช้งานได้จริง ทีมออกแบบได้ให้ปืน HK 416D ซึ่งเป็นเวอร์ชันเยอรมันของปืน U.S. M4 ให้กับจอห์น คอนเนอร์ ส่วนบาร์นส์ มือขวาของคอนเนอร์ แบกปืนยักษ์ Grizzly 50 และแบลร์ก็มีปืน Desert Eagle 50 ขนาดเหมาะมือเป็นอาวุธ
ด้วยความที่ต้องมีสงครามสาดกระสุน ซีเควนซ์ไล่ล่าและระเบิดโครมครามอยู่หลายครั้ง ทีมผู้สร้างจึงต้องใช้ดินปืนจำนวนมหาศาลให้ได้ผลและปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ "เราอยากจะทำทุกอย่างต่อหน้ากล้องครับ" แม็คจีกล่าว "เมื่อมันจำเป็นจะต้องใช้ CG เราก็ทำ แต่เราอยากจะสร้างทุกอย่าง ระเบิดตรงนั้นตรงนี้ และบดขยี้รถจริงๆ มันเป็นเรื่องวิเศษสุดที่จะได้แรงกระแทกจากแรงระเบิดมาช่วยเสริมสร้างความสมจริงให้กับซีเควนซ์นั้นด้วย คุณจะมองเห็นความตื่นเต้นในแววตาทุกคนครับ คุณจะรู้สึกว่า
อะดรีนาลินของพวกเขาพลุ่งพล่าน เราตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะทำให้มันปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เราก็อยากจะผลักดันทุกอย่างให้ก้าวไปไกลกว่าเดิมเพื่อสร้างหนังที่โดยแก่นแท้แล้วเป็นหนังสงคราม และก็บันทึกเอาความสมจริงของความกดดันเข้มข้นนั้นให้ได้"
ความเสมือนจริงเป็นหลักการสำคัญสำหรับทั้งทีมเอฟเฟ็กต์และวิชวล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ (และผู้กำกับยูนิทที่สอง) ชาร์ลส์ กิ๊บสันได้ยืนยันว่า "แม็คจีอยากได้เหตุการณ์เพลิงลุกไหม้ การระเบิดและแอ็กชันสเกลหนึ่งต่อหนึ่งจริงๆ ไม่ใช่แบบจำลองหรือภาพ CG ในแง่นั้นแล้ว หนังเรื่องนี้จะเป็นเหมือนหนังแอ็กชันมากกว่า เราก็เลยเลือกที่จะใช้วิชวล เอฟเฟ็กต์อย่างระมัดระวังที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ไม่ใช้มันมากเกินไป และใช้สิ่งที่เป็นตัวแทนของโลกแห่งความจริงทุกครั้งที่เราทำได้" นอกจากนี้ กิ๊บสันยังได้ร่วมงานกับบริษัทแปดแห่ง ซึ่งรวมถึงอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค, อาซีลัม, เคิร์นเนอร์ สตูดิโอส์, วิสกี้ ทรีและไรซิง ซัน สตูดิโอส์
หนึ่งในความท้าทายด้านสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ที่ชัดเจนที่สุดคือการทำลายปั๊มน้ำมันระหว่างที่มาร์คัสและไคล์สู้กับฮาร์เวสเตอร์ ซึ่งมาร์คัสได้แอบเห็นรถบรรทุกน้ำมันและก็ระเบิดมันใต้ฮาร์เวสเตอร์เพื่อสะกัดกั้นการโจมตีของมัน ฉากนี้ที่ถ่ายทำโดยใช้รถน้ำมันที่บรรจุน้ำมันประมาณ 250 แกลลอน มีลูกไฟระเบิดในรัศมี 160 ฟุตและสูง 200 ฟุต ระเบิดครั้งนั้นได้กลืนกินปั๊มน้ำมัน ตามมาด้วยการระเบิดอีกครั้งที่หัวจ่ายน้ำมัน เอฟเฟ็กต์นั้นต้องใช้เวลาเตรียมการนาน 12 สัปดาห์และต้องมีการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างรอบคอบในวันถ่ายทำอีกด้วย
นอกจากนี้ มันยังหมายความว่า ทีมงานมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะบันทึกเหตุการณ์นี้ลงบนแผ่นฟิล์ม แม็คจีจึงไม่ยอมทิ้งโอกาสให้เสียไปเปล่าๆ ด้วยการถ่ายทำฉากดังกล่าวจากหลายมุมมองด้วยการบังคับกล้องผ่านทางสวิตช์ทางไกล ทั้งกล้องสำหรับโคลสอัพ ที่ถูกปกป้องในกล่องกันกระแทก กล้องที่ตากล้องควบคุมอยู่หลังหลุมหลบภัย หรือแม้แต่กล้องบนเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้เลนส์ยาวมากๆ
แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่านั้นอาจจะเป็นระเบิดนาปาล์มและภาพที่เฮลิคอปเตอร์ของคอนเนอร์ร่วงลงไปในแม่น้ำ ในการถ่ายทำซีเควนซ์นี้ ทีมงานได้สร้างแม่น้ำความยาว 200 ฟุตใจกลางทะเลทราย ซึ่งประกอบไปด้วยแทงค์น้ำความสูง 18 ฟุต ที่เก็บคานที่ใช้ขยับเฮลิคอปเตอร์ขึ้นลงและถูกติดตั้งกลไกเพื่อที่เฮลิคอปเตอร์จะได้ตกลงไปในแม่น้ำและขยับขึ้นลงได้ สิ่งที่เรียงรายอยู่ตาม "ริมฝั่งแม่น้ำ" ก็คือการผสมผสานระหว่างต้นไม้จริงและต้นไม้คอนกรีต ซึ่งต้นไม้คอนกรีตจะมีการติดตั้งท่อน้ำมันเข้าไปเพื่อสร้างเปลวเพลิงที่ควบคุมได้ และพ้นอาณาเขตวงแหวนไฟนั้นไป ก็จะมีพนักงานดับเพลิงในท้องถิ่นมาคอยยืนเตรียมรับเหตุการณ์เอาไว้
ระเบิด "นาปาล์ม" ถูกทิ้งลงมาเป็นแรงระเบิดต่อเนื่องตามความยาว 300 ฟุตของแม่น้ำ ซึ่งระเบิดแต่ละครั้งจะใช้น้ำมัน 100 แกลลอน โดยมีเปลวเพลิงสูงขึ้นไปหลายร้อยฟุต เอฟเฟ็กต์นี้ซึ่งยาวนานประมาณเจ็ดวินาทีเป็นเหมือนการสาดกระสุนปืนกลเป็นเปลวเพลิง ที่ก่อให้เกิดคลื่นความร้อนมหาศาล "และโชคดีที่ไม่มีอะไรเกินกว่านั้นครับ" กิ๊บสันเล่า
"มันทำให้อะดรีนาลินคุณพลุ่งพล่านค่ะ" มูน บลัดกู๊ดยืนยัน "มันมีสตันท์แผลงๆ บางอย่าง พอเราเริ่มวิ่งแล้วมันก็จะมีฝุ่นคลุ้ง สิ่งต่างๆ ระเบิดขึ้น แล้วฉันก็ไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรมาโดนตัวฉันบ้าง แล้วเราก็จะหัวเราะกันเพราะเรากลัวกันมาก แต่ฉันก็ชอบนะคะ"
"ตัวละครของผมต้องเจอกับเรื่องโหดๆ เยอะแยะ" เวิร์ธธิงตันบอก "เขาถูกแขวนคอ ถูกเฉือน ถูกระเบิด ซึ่งก็หมายความว่าผมต้องหมดเวลาไปกับการถูกแขวนคอ ถูกเฉือน และถูกระเบิดด้วย" เขากล่าวกลั้วหัวเราะ "เราก็เลยฟกช้ำดำเขียวไปหมด แต่ก็อย่างว่าล่ะ นี่มัน ‘Terminator’ นี่ ไม่ใช่ ‘Pride and Prejudice’ นี่ครับ" ด้วยความที่มีทีมงานทำงานในกองถ่ายหลายร้อยคนทุกวัน ทำงานอยู่ในสเตจพื้นที่ 80,000 ตารางฟุต รวมไปถึงส่วนหนึ่งของทะเลทรายที่ล้อมรอบอัลบูเคอร์เคอ ฟิล์ม สตูดิโอส์ เจฟฟรีย์ ซิลเวอร์กล่าวว่า "Terminator Salvation" เป็น "ปฏิบัติการครั้งใหญ่อย่างเหลือเชื่อ มันต้องอาศัยลูกเล่นทุกอย่างเท่าที่มี ไม่ว่าจะเป็นอนิเมโทรนิคส์, สเปเชียล เอฟเฟ็กต์, วิชวล เอฟเฟ็กต์, สตันท์…คุณพูดมาเถอะครับ หนังเรื่องนี้มีทั้งนั้นแหละ"
แม็คจีกล่าวสรุปอย่างเรียบง่ายว่า "มันเข้มข้นครับ…แต่มันก็สนุกอย่างเหลือเชื่อด้วย"
No comments:
Post a Comment