สพร. เปิดตัวนิทรรศการ “เครื่องราง ของขลัง” นำเสนอศาสตร์อันลี้ลับที่ฝังรากในวัฒนธรรมไทยในมุมมองวิชาการ พร้อมจัดแสดงเครื่องรางของขลังนานาชนิดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และสุดยอดวัตถุมงคลอันทรงคุณค่าของเมืองไทย “พระเครื่องชุดเบญจภาคี”
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ขยายผลองค์ความรู้สู่สาธารณชน หลังประสบความสำเร็จจากเวทีสัมมนาวิชาการ “เครื่องรางของขลัง วัฒนธรรมชาวพุทธในสุวรรณภูมิ” เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เปิดตัวนิทรรศการใหม่ล่าสุด “เครื่องรางของขลัง” เพื่อนำเสนอตำนาน เรื่องราว และความเป็นมาของเครื่องรางของขลังในมิติวิชาการ ที่จะเผยให้เห็นรูปแบบของความเชื่อในวัฒนธรรมไทยที่เกิดจากการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิม และความเชื่อทางพุทธศาสนา
นายราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) เปิดเผยว่า “นิทรรศการเครื่องรางของขลัง” จัดขึ้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวของระบบความเชื่อท้องถิ่นของกลุ่มคนในสุวรรณภูมิรวมถึงคนไทย ที่เกิดจากการหลอมรวมกับความเชื่อทางศาสนาฝังแน่นอยู่ในระบบความเชื่อของคนไทย และแสดงออกมาในรูปแบบของเครื่องรางของขลังชนิดต่างๆ เกิดเป็นวัตถุมงคลที่มีคุณค่ายึดเหนี่ยวทางจิตใจและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล
“ความเชื่อเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่ในในมุมมองทางวิชาการกลับพบว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับหลักธรรมทางศาสนา ซึ่งถูกมองข้ามหรือไม่สามารถเข้าถึงได้ สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจและควรนำมาขยายผลโดยจัดแสดงในรูปแบบของนิทรรศการ เพื่อให้เห็นทั้งรูปแบบและเนื้อแท้ของระบบความเชื่อดังกล่าวอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ประเพณี และศิลปวัฒนธรรมตลอดจนลัทธิศาสนาความเชื่อในสุวรรณภูมิต่อไป” นายราเมศกล่าว
อาจารย์จุลทัศน์ พยาฆรานนท์ ราชบัณฑิต กล่าวว่าเครื่องรางของขลังเป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของคนสมัยโบราณ เป็นกุศโลบายให้คนมุ่งเข้าหาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา
“น่าเสียดายว่าคนในยุคสมัยนี้กลับไม่สนใจที่จะค้นหาและสืบทอดแก่นที่แท้จริงของความรู้เหล่านี้ แต่หันไปมุ่งเน้นในเรื่องผลที่จะได้รับหรือผลด้านไสยศาสตร์ และผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ทั้งผู้ที่จัดสร้างและผู้ที่นำไปบูชา ทำให้ภูมิปัญญาที่เชื่อมโยงกับหลักคำสอนตามหลักพระพุทธศาสนาที่มีคุณค่ากลายเป็นความเชื่อที่งมงายไร้สาระ” อ.จุลทัศน์ระบุ
นิทรรศการเครื่องรางของขลัง จะเปิดมุมมองใหม่ของศาสตร์อันลี้ลับในมิติวิชาการผ่านเรื่องราวในหัวข้อต่างๆ อาทิ ทำไมมนุษย์ต้องสร้างเครื่องราง, ไสยศาสตร์, ของขลังของผี, พรจากเทพ, เปลือกหุ้มแก่น, ไม่เชื่ออย่าลบหลู่...แต่ต้องให้รู้ด้วยปัญญา, ของขลัง...ของ(ราคา)สูง, จากเพราะความกลัวต่อสิ่งเร้นลับ...เป็น...เพราะอยากได้ กลัวไม่มี ฯลฯ
โดยนิทรรศการจะเผยให้เห็นถึงแก่นของความคิดต่อสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจจากความหวาดกลัวในสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น และพัฒนาต่อเนื่องมาอย่างแนบแน่นกับความเชื่อระหว่าง พุทธ-พราหมณ์-ผี อย่างแยกไม่ออก ซึ่งรูปแบบความเชื่อเหล่านี้ได้แปรสภาพมาเป็นวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังที่มีคุณค่าและมูลทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลในปัจจุบัน
นอกจากองค์ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อในสิ่งเร้นลับในแง่มุมวิชาการแล้ว ภายในงานยังจัดให้มีการจัดแสดงเครื่องรางของขลังนานาชนิดที่เกิดจากความศรัทธาและความเชื่อของชาวสุวรรณภูมิและคนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่ความเชื่อเรื่องภูตผี ปีศาจ เทพเจ้า
รวมไปถึงวัตถุมงคลอันทรงคุณค่าที่มีประวัติศาสตร์ และเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา อาทิ ผ้ายันต์, ผ้าประเจียด, ตะกรุดฯลฯ ที่หาชมได้ยาก และพระเครื่องต่างๆ โดยเฉพาะสุดยอดวัตถุมงคลล้ำค่าของคนไทย “พระเครื่องชุดเบญจภาคี” ที่มีมูลค่านับร้อยล้านบาทก็สามารถชมได้ภายในงาน
“นิทรรศการเครื่องรางของขลัง” มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2553 ถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 10.00-18.00 น. ณ ห้องจัดนิทรรศการชั่วคราว และห้องพิพิธเพลิน 1 สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ท่าเตียน กรุงเทพฯ เข้าชมฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) 02-225-2777 ต่อ 413, 414
เนื้อหาในนิทรรศการ “เครื่องราง ของขลัง”
เครื่องรางของขลัง :
ความเชื่อ เรื่อง"เครื่องรางของขลัง" มีมาตั้งแต่โบราณ แม้ในตำราพิชัยสงคราม บันทึกไว้ว่านักรบสมัยโบราณจะมีเครื่องรางของขลังติดตัวไว้เป็นมงคล เครื่องยึดเหนียวทางจิตใจ มีหลายชนิดและมีความเชื่อต่อ เครื่องรางของขลังและพระเกจิที่สร้างเครื่องรางอย่างมั่นคง เครื่องรางสำหรับคุ้มครองป้องกันในการออกศึกสงครามของคนโบราณ เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง
ผีสางเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งบันดาลอำนาจเหนือธรรมชาติ มีอิทธิพลต่อความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ทั้งทางดีและทางร้าย แม้ศาสนาพราหมณ์และพุทธจะเผยแพร่เข้ามาในไทยกว่าพันปีแล้ว แต่ความเชื่อในศาสนาทั้งสองกลับถูกผสมผสานกับความเชื่อเดิมจนกลมกลืนกันไปจนยากที่ที่จะแยกจากกัน
สังคมไทยปัจจุบัน หากมองอย่างวิเคราะห์จะเห็นได้ว่าเป็นสังคมที่ประกอบด้วยความเชื่อพื้นฐาน 3 ส่วน คือ วิทยาศาสตร์ พุทธศาสนาและไสยศาสตร์ แต่โดยส่วนใหญ่จะโน้มเอียงไปทางไสยศาสตร์ เป็นสังคมแห่งไสยศาสตร์ที่เคารพยำเกรงต่ออำนาจที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม มากกว่าเคารพคุณธรรมทางศาสนาและข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะเห็นปรากฏการณ์ความรุ่งเรืองของวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังอย่างเช่นปัจจุบัน
นิยาม เครื่องรางของขลัง :
สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่มีการสรรค์สร้าง ซึ่งถือว่ามีดีในตัวและมีเทวดารักษา สิ่งนั้น ได้แก่ เหล็กไหล คดต่างๆ เขากวางคุด เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือ กลวง เถาวัลย์ ฯลฯ
ส่วนของดีที่สร้างขึ้นมานั้น ได้แก่ สิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น แร่ธาตุ ต่างๆ ที่หล่อหลอมตามสูตร การเล่นแร่แปรธาตุ อันได้แก่ เมฆสิทธิ์ เมฆพัด เหล็กละลายตัว สัมฤทธิ์ นวโลหะ สัตตะโลหะ ปัญจโลหะ เป็นต้น ทั้งนี้คลุมไปถึง เครื่องราง ลักษณะต่างๆ ที่ได้รับการสร้างขึ้นมาเพื่อคุ้นกันภัยอันตรายจากสิ่งที่ลึกลับ เร้นลับและอำนาจเหนือธรรมชาติ
สิ่งเร้นลับกับมนุษย์ :
มนุษย์อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อทำความเข้าใจ จากความไม่รู้หรือความลี้ลับที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความทุกข์ยาก ตกใจหรือกลัว จึงเชื่อกันว่า เกิดจากอำนาจลี้ลับที่ดีและเลวร้ายบันดาล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น อาจจะควบบคุมได้หากได้กระทำบางอย่าง
นักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายรุ่นพยายามจะพิสูจน์สิ่งเหนือธรรมชาติว่ามีอยู่จริงหรือไม่ อะไรคือความจริงที่อยู่เบื้องหลัง หรือเป็นเพียงความเชื่อที่หลงงมงาย บางเรื่องวิทยาศาสตร์หาคำตอบได้ แต่ก็มีอีกหลายเรื่องเช่นกันที่วิทยาศาสตร์ยังเข้าไม่ถึง
คงไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่มนุษย์สมัยโบราณจะเกรงกลัวสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือเร้นลับที่ไม่มีใครอธิบายหรือพิสูจน์ให้พวกเขาได้รับรู้ การสร้างสิ่งยึดมั่นจิตใจเพื่อปกป้องและขับไล่ความกลัวจึงเกิดขึ้น ซึ่งคงแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
ความกลัวของคน :
ความกลัว เป็นการตอบสนองทางอารมณ์ต่อการถูกคุกคามหรือภัยอันตราย เป็นกลไกพื้นฐานในการเอาตัวรอดต่อสิ่งกระตุ้น ความกลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวความทุกข์ยากลำบาก กลัวโรคภัย กลัวแผ่นดินไหว กลัวน้ำท่วม กลัวไฟไหม้ กลัวความลึกลับ ฯลฯ สิ่งลี้ลับเหล่านี้มนุษย์เชื่อว่ามีผู้บันดาลให้เกิดขึ้น จึงพยายามสร้างสิ่งสมมติขึ้น อาทิ ผี วิญญาณ เทพเจ้า และสิ่งที่เป็นตัวแทนของอำนาจลี้ลับอื่นๆ แล้วทำพิธีบวงสรวงบูชาเพื่อให้สิ่งลี้ลับเมตตา บันดาลสุขให้เกิด ความกลัวและความไม่รู้จึงทำให้เกิดความเชื่อและศาสนา
ความเชื่อ :
ความกลัวและความไม่รู้เป็นเหตุให้เกิดความเชื่อ ? ความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ความเชื่อในอำนาจที่บางครั้งไม่สามารถพิสูจน์หรืออธิบายเหตุและผลได้ ความเชื่ออย่างนี้หรือไม่ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดศาสนา
ระบบความเชื่อของคนไทยและชนชาวสุวรรณภูมิซ้อนทับกันอยู่ อุปมาคล้ายดังเจดีย์ นับถือผีสาง เทวดาเป็นฐาน นับถือไสยศาสตร์ซึ่งมาจากฮินดูเป็นองค์เจดีย์ และยอมรับนับถือพุทธศาสนาเป็นส่วนยอด เป็นความเชื่อที่ปะปนกันมากบ้างน้อยบ้าง
แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้าไปมาก สามารถอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติด้วยเหตุผล แต่คนเราก็ยังคงแสดงออกทางความเชื่ออยู่ในชีวิตประจำวัน เป็นต้นว่า ฝนตกเพราะนาคให้น้ำ หรือเทวดาบันดาล แผ่นดินไหว เพราะปลาอานนท์พลิกตัว ...ฯลฯ
แม้เมื่อมีเภทภัยคุกคาม หรือ เกิดความทุกข์ยากลำบากใจ คนเราหันหน้าพึ่งสิ่งเหนือธรรมชาติ สิ่งลี้ลับ ผี วิญญาณ ภูเขา ต้นไม้หรือเทพศักดิ์สิทธิ์ แทนพึ่งคำตอบจากวิทยาศาสตร์ บางทีความเชื่ออาจจะค่อยๆหายไปจากจิตใจด้วยคำอธิบายของวิทยาศาสตร์ แต่มนุษย์เรายังกลัวและยังมีสิ่งที่ยังไม่รู้อีกมากที่เรียกว่า สิ่งเหนือธรรมชาติ
นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องสร้างเครื่องรางของขลังขึ้น เพื่อพึ่งพาทางใจหรือป้องกันภยันตรายจากสิ่งเร้นลับ
ผี พราหมณ์ พุทธ :
รากเหง้าความเชื่อดั้งเดิมของมนุษย์แต่ครั้งโบราณของชาวสุวรรณภูมิตั้งแต่ยุคก่อนจะมีศาสนา คือการนับถือ ผี ที่หมายถึง สิ่งที่มีอำนาจลึกลับ และสิ่งศักดิ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติ มีความใกล้ชิดกับความเป็นอยู่ของผู้คน โดยเฉพาะวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาเทวดาฟ้าฝนหรือความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ความเชื่อในเรื่องผีมักปรากฏในวิถีชีวิตทุกหนแห่ง อาทิ ผีฟ้าผีแถน แม่ธรณี แม่โพสพ ผีบ้าน ผีเมือง เจ้าป่าเจ้าเขา นอกจากนี้ยังมีการนับถือสัตว์หรือสัญลักษณ์บางชนิด เช่น งู นาค จระเข้กบ เป็นต้น ความเชื่อเหล่านี้สืบทอดกันมาเป็นพันปี และปรากฏในรูปแบบของพิธีกรรมบางอย่างซึ่งมีร่องรอยของการนับถือลัทธิบูชาผี เช่น การตั้งศาลพระภูมิ หรืองานบุญบั้งไฟ เป็นต้น แม้ปัจจุบันนี้ ความเชื่อในลัทธิผี ค่อนข้างจะเลือนหายไปบ้างแล้ว แต่ก็มีผู้คนส่วนมากที่เชื่อในลัทธิผีและสิ่งลี้ลับแม้ในประเทศที่เจริญด้วยวิทยาศาสตร์แล้วก็ตาม
ลัทธิผีและศาสนา :
ท่ามกลางความเจริญทางวัตถุแบบตะวันตกของสังคมไทย แต่ก็ยังมีความเชื่อดั้งเดิมอยู่ และนับวันจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น เหตุที่ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่มีความเชื่อเรื่องผีมากขึ้น เพราะมีความไม่มั่นคงในจิตใจสูงกว่าในชนบทมาก เนื่องจากคนในเมืองส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง เป็นนักธุรกิจ นักลงทุน ยิ่งอยากได้มาก ต้องลงทุนมากขึ้น ยิ่งลงทุนมากก็ยิ่งมีความเสี่ยงมาก จึงเกิดความกลัว เพราะเป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ คนเมืองจึงต้องอาศัยความเชื่อทางไสยศาสตร์เข้ามาช่วย โดยหาเครื่องรางของขลัง สะเดาะเคราะห์ ศาลพระภูมิ ศาลผี จึงปรากฏอยู่แทบทุกบ้าน แม้กระทั่งโรงแรมหรูหราชั้นนำ
ผีกับพราหมณ์ :
ศาสนาหรือความเชื่อพื้นเมืองดั้งเดิมของสุวรรณภูมิ รวมทั้งไทย มีการนับถือผีสางเทวดา มีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย เห็นได้จากหลุมฝังศพสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบเครื่องมือเครื่องใช้ แครื่องประดับ อาทิลูกปัด กำไล ร่วมกับการฝังศพ หรือความเชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วจะกลายเป็นบรรพบุรุษ โดยมีพิธีกรรมเป็นตัวเชื่อมระหว่างคนเป็นกับคนตาย
สังคมสุวรรณภูมิที่นับถือผีดั้งเดิมอยู่แล้ว เมื่อศาสนาพราหมณ์เข้ามามีการปรับแต่งให้กลมกลืนและสามารถอยู่ร่วมกันได้ ทำให้เกิดรูปแบบของพิธีกรรมที่ผสมผสานกัน ชนชั้นสูงเลือกรับก่อนเพื่อเป็นการเสริม สร้างสถานภาพ ในฐานะที่ทรงอำนาจบารมีตามแบบเทวราชา และยังใช้เป็นแบบแผนในการสร้างบ้านสร้างเมืองผ่านการปกครองและพิธีกรรม
ผีกับพุทธ :
ในสังคมชนบท ศูนย์รวมชุมชนอยู่ที่วัด โดยมีพุทธเป็นเสมือนร่มเงาใหญ่ของความเชื่อของท้องถิ่น รวมถึงความเชื่อผีอยู่ด้วย แต่ผีก็จะอยู่ใต้พุทธ เป็นสาวกของพุทธแม้ว่าศาสนาพุทธจะเข้ามาที่หลังก็ตาม อีกทั้งความเชื่อเรื่องผีในชนบทก็มีลักษณะเป็นศาสนามากกว่าไสยศาสตร์ เพราะทำให้คนยอมสยบต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผี โดยปรึกษาผู้รู้ซึ่งใช้วิธีการทางไสยศาสตร์ติดต่อกับผี ผีจึงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในโลกนี้ เมื่อต้องการใช้น้ำ ป่า พื้นที่สาธารณะ สมาชิกในสังคมจะต้องไปขออนุญาตจากผี ถ้าหากประพฤติผิดก็จะถูกผีลงโทษ ในชนบทผีจึงมีอีกหน้าที่ที่สำคัญคือเป็นผู้รักษาทรัพยากร
สังคมชนบทสร้างดุลยภาพระหว่างผีและพุทธอย่างลงตัว ไม่ได้ขัดแย้ง แต่เกื้อกูลกัน วัดจึงกลายเป็นศูนย์ กลางความเชื่อทั้งผีและพุทธ พระสงฆ์รู้ว่ากาละไหนควรใช้ผี กาละไหนควรใช้พุทธ จึงมีดุลยภาพ สังคมชนบทจึงไม่เครียด สนุกสนาน แต่ปัจจุบัน สังคมชนบทกำลังถูกคุกคามจากสังคมสมัยใหม่ ความเชื่อเรื่องพุทธและผีเริ่มเสื่อมไปทุกที
No comments:
Post a Comment