Search This Blog

Thursday, December 17, 2009

บทสัมภาษณ์ผู้กำกับภาพยนตร์ ชลัท ศรีวรรณา



โปรเจ็คท์ของหนังเรื่อง “After School วิ่งสู่ฝัน” เกิดขึ้นได้อย่างไร
“คือจริงแล้วโปรเจ็คท์นี้ผมมีความตั้งใจว่าอยากจะทำมาตั้งนานแล้ว แต่มันไม่มีโอกาสได้ทำซักที พอมีโอกาสได้ได้กลับมาทำหนังอีกครั้งก็เลยเอาเรื่องนี้มาปัดฝุ่น พร้อมปรับเปลี่ยนเรื่องในบางช่วงให้มันอัพเดทและดูทันสมัยขึ้น”
หนังเรื่องนี้ได้ไอเดียมาจากไหน
“มันได้หลายอย่างมาประกอบกันอย่างคำว่า “After School” ผมก็ได้ยินและคุ้นเคยมาตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกา คือมันจะมีรายการทีวีรายการหนึ่งช่วงประมาณบ่าย 3 โมง มันเป็นรายการเกี่ยวกับหนังสั้นที่จบในตอน เป็นหนังที่ทำเพื่อสังคมและถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กนักเรียนโดยเฉพาะ เพราะฉนั้นพอนักเรียนเลิกเรียนเสร็จเขาจะรีบกลับบ้านเพื่อมาดูรายการนี้ ซึ่งมันเป็นรายการ After School จริงๆผมเห็นแล้วยังรู้สึกว่ามันเข้าท่าเลยครับ เพราะตอนนั้นปัญหาเรื่องยาเสพติด เพศสัมพันธ์อะไรต่างๆรวมถึงปัญหาวัยรุ่นกำลังเป็นปัญหาของบ้านเขา ซึ่งก็คล้ายปัญหาของบ้านเราในตอนนี้ ผมก็เลยมองว่า After School ซึ่งเป็นเวลาหลังเลิกเรียนเป็นเวลาที่ค่อนข้างจะมีค่ามากๆสำหรับเด็กนักเรียน แต่หลายคนก็ไม่ค่อยให้ความสนใจกับเวลาตรงนี้ปล่อยมันละทิ้งไป ความจริงแล้วเวลาช่วงไหนก็มีค่าเหมือนกันหมดผมไม่อยากให้ใครละทิ้งมันไปครับ
อีกประเด็นที่เป็นที่มาของ After School ก็คือความสามัคคีกัน การเดินหน้าการทำงานร่วมกันอะไรที่มันเป็นทีมเวิร์คเนี่ยมันค่อนข้างจะทำได้ลำบาก เพราะฉนั้นภาพยนตรเรื่องนี้จึงอยากจะสื่อให้เห็นว่าการที่เด็กกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกัน และมันอาจจะมีอุปสรรคอะไรขึ้นมาบ้างแต่พวกเขาก็ช่วยกันฝ่าฟันจนมันผ่านพ้นไปได้ การที่เราร่วมมือร่วมใจกันทำงานอย่างจริงๆแล้วมันต้องประ สบผลสำเร็จออกมาอย่างแน่นอนครับ”
ที่เอาโปรเจ็คท์นี้ไปเสนอ บริษัท อควา เพราะอะไร
“ความจริงแล้วเราก็เคยเอาโปรเจ็คท์นี้ไปเสนอบริษัทอื่นมาเหมือนกัน โดยเฉพาะค่ายเพลงเขาก็ให้ความสนใจแต่สุดท้ายมันก็มีอะไรที่ติดขัดอยู่หลายอย่าง เพราะสิ่งที่เขามองกับสิ่งที่เรามองมันคนละอย่าง หากเดินด้วยกันต่อไปปัญหามันต้องเกิดแน่นอนผมก็เลยเก็บโปรเจ็คท์นี้เอาไว้ก่อน จนกระทั่งได้มาเจอผู้บริหารของ บริษัท อควา ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาทำหนังด้วยกัน พอคุยไปคุยมาเกิดความพอใจกันทั้งสองฝ่าย ก็เลยได้มาทำหนังร่วมกันมันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้”
ทำไมถึงคิดทำหนังที่ไม่ใช่แนวตลาดทั่วไป
“คือตัวผมเองเรียนจบทางด้านภาพยนตร์มาจากอเมริกา แต่ผมกลับนำมันมาใช้น้อยมากด้วยเหตุผลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่เรื่องของความเข้าใจในตัวหนัง ผมคิดว่าการสร้างหนังโจทย์ของมันไม่ใช่แค่คุณต้องสร้างแล้วให้มันได้ตังค์แล้วหนังจะสำเร็จเสมอไป ซึ่งผมก็พยายามศึกษามาหลายปีว่าสูตรที่ทุกคนว่ากันนั้นมันจริงหรือเปล่า แต่พอดูแล้วส่วนใหญ่มันก็ไม่สำเร็จ เราก็เลยย้อน กลับมาในทฤษฎีเดิมของเราว่าเราควรเดินตามแนวทางของเราดีกว่า”
ที่เลือกสายป่านมาเป็นนางเอกเพราะอะไร
“คือเด็กที่หน้าตาดีๆตอนนี้มีเยอะมาก แต่จะให้หาเด็กที่มีความสามารถจากเด็กที่หน้าตาดีๆเนี่ยค่อนข้างจะหายาก เด็กอย่างสายป่านถือว่าเป็นกรณีพิเศษแล้วเพราะเป็นเด็กที่ค่อนข้างมีเซ้นส์ในการแสดงสูงมาก พอผมเห็นปุ๊ปผมรู้ว่าเขามีความแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆที่เราแคสมา 200-300 คนอย่างชัดเจน ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเด็กที่ผมแคสมานั้นมันไม่ได้เลยเมื่อเทียบกับสายป่าน เพราะบทของมะนาวในเรื่องนี้มันมีบทดราม่าค่อนข้างเยอะด้วย พอได้สายป่ายมาเล่นทำให้ผมสบายใจไปเยอะเลยครับ”


นักแสดงวัยรุ่นคนอื่นทำไมไม่เลือกคนที่มีผลงานแล้ว
“พอผมได้สายป่านมาแล้วผมก็จะเอาเขามาเป็นบรรทัดฐานในการเลือกนักแสดงคนอื่นๆ แต่ไม่ต้องเก่งขนาดสายป่านก็ได้แต่ขอให้มีคาแรคเตอร์ที่ใกล้เคียงกับตัวละครในเรื่องให้มากที่สุด และต้องมีเรตติ้งที่พอจะทำให้ผู้ใหญ่หรือว่าเด็กเห็นแล้วชอบได้ที่สำคัญ
ต้องร้องเพลงได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งถึงขนาดนักร้องอาชีพ คือขอให้แอ็คติ้งได้ร้องเพลงได้ผมก็เลยเอาเด็กๆพวกนี้มาเล่นครับ”
ปัญหาในการถ่ายทำมีอะไรบ้าง
“มันก็มีบ้างเป็นของธรรมดาอยู่แล้วแต่ก็ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคที่เราแก้ไขไม่ได้ เพราะเราเข้าใจดีว่าตลาดหนังไทยมันมีขอบ เขตของมันอยู่ เพราะฉนั้นต้นทุนในการผลิตมันก็ต้องมีขอบเขตเหมือนกัน ในเมื่อต้นทุนในการผลิตของเรามีอยู่เท่าไหร่เราก็ต้องพยายามทำให้มันพอดี ไม่ใช่ไปไขว่คว้าอะไรให้มันมากขึ้นไปอีกทั้งๆที่เราก็รู้ว่ามันไม่ได้ เพราะฉนั้นเราต้องทำทุกสิ่งให้มันดีที่สุดตามขอบเขตที่เรามีอยู่”
ฉากที่ถ่ายทำยากที่สุดเป็นฉากไหน
“คงเป็นฉากที่มีคนเยอะมีดาราเยอะๆเราต้องควบคุมทุกอย่างให้มันอยู่ในกรอบที่เราวางไว้ ฉากที่ยากน่าจะเป็นฉากที่สยามดิสคัพเวอรี่กับสยามเซ็นเตอร์ซึ่งมันเป็นสถานที่ๆมีผู้คนพลุกพล่านมากๆ เราก็รู้สึกเกรงใจเจ้าของสถานที่เขามันก็เลยเป็นแรงกดดันในการทำงาน เพราะเราจะไปทำอะไรตามใจเรามากก็ไม่ได้ เราต้องเกรงใจผู้คนที่เขาจะต้องไปๆมาๆแถวนั้นด้วย ผมจึงต้องพยายามรักษากฏระเบียบของสถานที่เขาไว้ด้วย”
คนที่ไปดูหนังเรื่องนี้มันจะเหมือนดูมิวสิควิดีโอหรือเปล่า
“คือตัวผมเองก็เติบโตมาจากมิวสิควิดีโอเหมือนกันและก็เคยทำโฆษณามาก่อน แต่ผมก็ทิ้งงานพวกนี้ไปนานแล้วแต่ผมก็มีความรู้สึกว่างานเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่คนชอบดูกันอยู่ อะไรก็ตามที่มันสามารถทำความสุขให้กับคนดูได้ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ในเมื่อหนังในแนวมิวสิคัลคนไทยยังไม่ทำกัน ผมคิดว่าคนดูน่าจะชอบมันเหมือนเป็นทางเลือกใหม่ให้กับคนดู และอาจเป็นอีกรสชาติหนึ่งที่คนดูอาจอยากลองและอาจจะชอบก็ได้ แต่ทุกอย่างมันก็จะดำเนินไปเหมือนหนังแต่จะเล่าเรื่องผ่านเพลงเท่านั้นเอง”
คิดว่าคนดูจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้
“ความคาดหวังของผมก็คืออยากให้เป็นหนังที่ดูแบบสบายๆ ดูแล้วสบายใจ ดูแล้วยิ้ม เป็นความบันเทิงที่เสพแล้วอิ่มพอดูหนังจบแล้วต้องยิ้มได้และมีความหวังให้กับชีวิต ดูแล้วให้กำลังใจกับทุกคนได้ถึงแม้ชีวิตเราจะเจอปัญหาอะไรเราก็พร้อมที่จะก้าวต่อไป ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจมันจะมีปัญหาก็อย่าท้อ เพราะหนังเรื่องนี้มันจะแฝงข้อคิดอะไรไว้หลายๆอย่าง แต่ไม่ได้เป็นหนังที่บอกถึงความยากลำบากของคนหรือความทุกข์ทรมาณของใคร แต่เป็นหนังใสๆที่ให้กำลังใจคนมากกว่า เพราะเราก็หยิบเอาชีวิตจริงของคนที่เราเห็นกันอยู่มาร้อยเป็นเรื่องเดียวกัน”
เพลงในหนังเรื่องนี้มีทั้งหมดกี่เพลง
“มีทั้งหมด 13 เพลงเป็นเพลงเก่า 6 เพลงและเป็นเพลงใหม่ที่เราแต่งขึ้นมาเพื่อหนังเรื่องนี้อีก 7 เพลง ซึ่งแต่ละเพลงจะบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างชัดเจน ซึ่งเพลงในเรื่องนี้มีทั้งเพลงเศร้า เพลงสนุกและเพลงโรแมนติก เรียกว่ามีหลากหลายอารมณ์มากๆอย่างเพลงเก่าเนี่ยผมไปค้นโกดังเพลงเก่ามาเลยก็ว่าได้ กว่าจะได้เพลงที่ตรงกับเรื่องที่ผมเขียนขึ้นมา ผมใช้เวลานานประมาณ 2 เดือนในการฟังเพลงเก่าเห็นจะได้ คือฟังทุกวันๆละหลายสิบเพลงเลยครับ”
อยากฝากอะไรกับคนดูบ้าง
“หนังเรื่องนี้จะเป็นอีกช้อยส์หนึ่งของคนดูและผมคิดว่าหลายคนคงจะชอบ เพราะมันเป็นความแปลกใหม่ของหนังไทยในยุคนี้ที่ไม่เหมือน
กับหนังเรื่องอื่นเรื่องราวก็มีหลากหลายรสชาติ เพราะตัวละครแต่ละตัวก็มาจากพื้นฐานที่แตกต่างกันแต่ต้องมารวมตัวกันเพื่อตั้งวงดนตรี
กว่าจะไปถึงฝันของตัวเองได้ก็ต้องเจออุปสรรค์หลายอย่าง ยังไงผมก็ขอฝากหนังเรื่องนี้เอาไว้ด้วย 21 ม.ค.เข้าฉายพร้อมกันทั่วประเทศครับ”

No comments: